2/15/2552

ภาษาญี่ปุ่น


สำหรับภาษาญี่ปุ่นเราไม่สามารถบอกอะไรได้มากนะ เพราะเราเพิ่งเริ่มเรียน ( ไปซื้อหนังสือมาเรียนเองตอนวันปีใหม่ที่ผ่านมา) แต่หนังสือที่เราซื้อมาจะเป็นการเรียนด้วยการฟังก่อน แล้วค่อยฝึกพูด และตัวเขียนเป็นลำดับต่อไป ทำให้สามารถคุ้นเคยกับภาษาญี่ปุ่นได้โดยง่าย

การเรียนภาษาจีน : การอ่าน (pinyin)




การอ่านภาษาจีนจะอ่านได้เราต้องรู้ pinyin หรือตัวอักษรที่กำหนดเสียงเสียก่อนว่าตัวอักษรตัวนั้นเขียน pinyin อย่างไร ทำให้หลายคนบอกว่าจำยาก ไม่รู้หลักการจำ หรือไม่บางคนก็ใช้การเขียนเสียงภาษาไทยกำกับไว้ที่ตัวอักษรแต่ละตัวซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด เนื่องจากความยุ่งยากในการเรียนภาษาจีนจะเพิ่มขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว วิธีเรียนที่ดีที่สุดคือ

1.จำตัวอักษรเสียง pinyin ให้ได้ แต่จำแค่ตัวอักษรหลักเท่านั้น เช่น b p m f d t n l … ส่วนตัวอักษรเสียงที่นำมาประสมกันเช่น ai ควรใช้หลักการเข้าใจที่มาของเสียง ว่าประสมจาก a และ i ดังนั้น เสียงที่ประสมกันต้องมีที่มากจากทั้งตัว a และ i เหมือนการประสมตัวอักษรในภาษาไทย

2.ให้หูฟังเสียง พยายามจับเสียงของตัวที่มาประสมกันให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ให้ลอง ออกเสียงตามดู

2/06/2552

การเรียนภาษาจีน : การเขียน






ภาษาจีนเป็นภาษาที่ไม่ได้เรียนกันได้ง่ายๆ เนื่องจากตัวอักษรจีนนั้นมีความหลากหลาย (ทางพันธุกรรม 555+ ล้อเล่นจ้า ) สูงอย่างยิ่ง แต่เราสามารถเรียนได้ไม่ยาก หากเรียน อย่างเข้าใจ ไม่ใช่จำ



อักษรจีนก็เหมือนกับภาษาอังกฤษ คือจะมีรากศัพท์อยู่ด้วย ซึ่ง(ส่วนมาก) รากศัพท์จะเป็นตัวอักษรที่มีขีดไม่มากนัก ทำให้ง่ายต่อการจดจำ และข้อได้เปรียบของภาษาจีนเมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษก็คือ รากศัพท์ภาษาจีนเป็นรูปภาพที่เปลี่ยนแปลงมาตามกาลเวลาจนกลายเป็นตัวหนังสือเช่นปัจจุบันนี้



รากศัพท์ตัวอักษรจีนเมื่อนำไปประสมกันจะได้คำใหม่ๆที่ทำให้คนดูเวียนหัวหน้ามืดตาลายจนต้องโด้ปยากันไปหลายคน เช่นเดียวกับภาษาไทยที่มีการประสมตัวอักษรเพื่อให้เกิดคำใหม่ขึ้นมา



ในตอนแรกเราไม่ต้องท่องจำรากศัพท์ (ท่องไปก็ลืม) เพียงแต่ใช้จินตนาการนึกภาพให้ออกตามความหมายของมันเท่านั้นเอง แล้วเมื่อเราพบรากศัพท์ในตัวอักษรที่ประสมแล้วเราก็สามารถเดาความหมายได้ง่ายๆ เพียงแค่ดูรากศัพท์ว่าแต่ละตัวมีความหมายว่าอะไร


วิธีเรียนภาษาด้วยตนเอง


มีวิธีปฏิบัติอยู่ 4 วิธีนะ
1.ต้องรู้ก่อนว่าเราจะเรียนภาษาอะไร
2.คิดว่าเรามีเวลาว่างที่จะเรียนภาษาไหม ประมาณ ครึ่งชั่วโมงต่อวันก็พอไหว เพราะภาษาถ้าไม่ทบทวนบ่อยๆแล้วได้คืนอาจารย์แน่ๆ
3.ลองเหล่สายตาจากหน้าคอม หรือจากงานมาดูที่ชั้นวางหนังสือในร้านหนังสือดู เอาหนังสือแบบที่เราลองเปิดดู พลิกดู อ่านดู และคิดดูแล้ว ได้ผลสรุปออกมาว่า เราสามารถเรียนหนังสือเล่มนี้ได้ ไม่ใช่ซื้อไปปุบปรากฏว่าเราอ่านไม่รู้เรื่อง ก็เสียเงินเปล่า
4.หมั่นทบทวนและเรียนตามเวลาที่เรากำหนดไว้
หมายเหตุ : หนังสือที่เราควรจ่ายเงินเพื่อนำมาเก็บไว้ที่บ้านในการเรียนภาษา ควรเป็นหนังสือที่มีซีดีประกอบ สำหรับการฟังสำเนียงเจ้าของภาษา แต่ไม่ควรเป็นหนังสือที่มีแต่รูปประโยคมาให้ท่องจำจนสมองระเบิด ให้หาหนังสือที่เริ่มตั้งแต่พื้นฐานในแบบที่เราคิดว่าสามารถเรียนได้

2/04/2552

ภาษาญี่ปุ่นกับภาษาจีน เรียนภาษาไหนดีกว่ากัน?


คำถามนี้หลายคนคงเคยคิดมาก่อนว่าระหว่างภาษาญี่ปุ่นกับภาษาจีนจะเรียนภาษาไหนดีกว่ากัน ในที่นี้จะขอเสนอความเห็นตามความคิดของตัวเองละกัน ว่าควรเรียน ภาษาจีน ดีกว่า สาเหตุก็เพราะ
1.ภาษาจีนอาจจะกลายเป็นภาษาที่ 3 ในอนาคต ต่อจากภาษาอังกฤษ ไม่เชื่อลองไปเดินเล่นในต่างประเทศดูสิ แล้วจะเห็นว่ามีคนจีนอยู่แทบทุกที่ในโลก แทบจะจัดตั้งสมาคมคนจีนกันเลย
2.ถ้าเราเรียนภาษาญี่ปุ่นสถานที่ๆเราจะไปท่องเที่ยวได้แทบจะมีแค่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่สำหรับภาษาจีนไม่ใช่ เราสามารถพูดภาษาจีนในทวีปอเมริกาได้เช่นกัน